3626 จำนวนผู้เข้าชม |
ห้องน้ำชั้นสองที่เกิดการรั่วซึม เป็นปัญหาที่สร้างความกังวลให้เจ้าของบ้านอย่างมาก เพราะไม่เพียงแต่ทำให้เกิดคราบสกปรกและเชื้อราบนเพดานชั้นล่าง แต่ยังอาจลุกลามไปจนทำให้โครงสร้างบ้านเสียหาย หากปล่อยไว้นานจะยิ่งซ่อมยากและมีค่าใช้จ่ายสูง การแก้ปัญหานี้จึงต้องอาศัยการทำงานที่ถูกต้อง รวมถึงการเลือกใช้ วัสดุที่เหมาะสม จึงจะทำให้จบปัญหาได้ในระยะยาว
สาเหตุของห้องน้ำรั่วซึม
ยาแนวเสื่อมคุณภาพ: ร่องยาแนวที่ปูระหว่างกระเบื้อง มักเสื่อมสภาพเมื่อใช้งาน 3–5 ปี ทำให้เกิดรอยแตกและช่องว่างที่น้ำซึมลงไปได้
ระบบกันซึมเสื่อม: พื้นห้องน้ำควรมีชั้นกันซึมที่ทำไว้ตั้งแต่แรก แต่หากไม่ได้ทำ หรือทำไว้บางเกินไป น้ำจะค่อย ๆ ซึมลงชั้นล่าง
สุขภัณฑ์รั่ว: ขอบโถสุขภัณฑ์หรืออ่างล้างหน้า หากไม่ได้ซีลด้วยวัสดุที่ดีพอ น้ำจะซึมตามร่องได้
ท่อรั่ว: ท่อประปาเก่าหรือเชื่อมต่อไม่แน่น เมื่อเวลาผ่านไปมักเกิดการแตกรั่ว
พื้นไม่ได้ทำ slope: หากไม่ได้ทำให้พื้นลาดเอียงเข้าหาท่อระบายน้ำ น้ำจะขังจนซึมเข้าสู่คอนกรีต
การตรวจสอบเบื้องต้น
1. มองหา คราบน้ำหรือเชื้อรา บนเพดานชั้นล่าง
2. ทดลองขังน้ำ ในห้องน้ำไว้ 1–2 วัน แล้วสังเกตว่ามีน้ำหยดลงมาหรือไม่
3. ตรวจขอบสุขภัณฑ์และยาแนวว่า มีรอยแตกหรือไม่
4. หากไม่พบสาเหตุ ควรเรียกช่างมา ตรวจสอบท่อและระบบน้ำ
วิธีแก้ปัญหาเบื้องต้น
1. อุดรอยร้าวด้วย ซิลิโคนกันรั่ว
2. ทายากันซึมบาง ๆ บริเวณที่สงสัย
3. ใช้ห้องน้ำให้น้อยลงเพื่อหยุดการซึมชั่วคราว
แต่วิธีเหล่านี้เป็นเพียงการบรรเทา ไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุ
การแก้ปัญหาระยะยาวและวัสดุที่ใช้
1. การรื้อพื้นและทำระบบกันซึมใหม่
นี่คือวิธีที่ได้ผลดีที่สุด ใช้เวลามากแต่จบปัญหาได้จริง
· วัสดุกันซึมแบบซีเมนต์ผสมโพลีเมอร์ (Cementitious Waterproofing)
ข้อดี: ใช้ง่าย ติดกับคอนกรีตได้ดี ราคาไม่แพง
ข้อเสีย: ถ้าแช่น้ำตลอดเวลาอาจเสื่อมเร็ว ต้องทาหลายชั้น
· เมมเบรนกันซึม (Sheet Membrane) เช่น แผ่นบิทูเมนหรือพีวีซี
ข้อดี: อายุการใช้งานยาวนาน กันน้ำได้ 100%
ข้อเสีย: ต้องใช้ช่างที่ชำนาญ หากติดตั้งผิดน้ำอาจซึมตามรอยต่อ
· กันซึมแบบทาเหลว (Liquid Applied Membrane) เช่น โพลียูรีเทนหรืออะคริลิก
ข้อดี: เคลือบพื้นได้เรียบ ไม่มีรอยต่อ เหมาะกับพื้นที่ซับซ้อน
ข้อเสีย: ราคาสูงกว่าซีเมนต์ และต้องควบคุมความหนาในการทาให้สม่ำเสมอ
2. การซ่อมเฉพาะจุด
· ใช้ ยาแนวชนิดอีพ็อกซี่ (Epoxy Grout) แทนยาแนวซีเมนต์ปกติ
ข้อดี: กันน้ำได้ดีกว่า ทนสารเคมีและเชื้อรา
ข้อเสีย: ราคาสูงกว่าและต้องใช้ช่างที่มีประสบการณ์
· ใช้ ซิลิโคนเกรดพิเศษสำหรับห้องน้ำ รอบสุขภัณฑ์
ข้อดี: ยืดหยุ่นสูง กันเชื้อราได้
ข้อเสีย: ต้องตรวจเช็กและซ่อมซ้ำทุก 2–3 ปี
3. การเคลือบพื้นผิว
· อีพ็อกซี่ (Epoxy Coating)
ข้อดี: ทาทับบนพื้นกระเบื้องได้ทันที กันน้ำได้ดี
ข้อเสีย: อาจลื่น ต้องเลือกชนิดที่เหมาะกับห้องน้ำ
· โพลียูรีเทน (Polyurethane Coating)
ข้อดี: ยืดหยุ่นสูง ทนต่อแรงกระแทก
ข้อเสีย: อายุการใช้งานสั้นกว่าการทำระบบกันซึมใหม่
4. การซ่อมท่อที่รั่ว
· แนะนำเปลี่ยนเป็น ท่อพีพีอาร์ (PPR Pipe) หรือ เอชดีพีอี (HDPE Pipe)
ข้อดี: ทนแรงดันสูง อายุใช้งานยาวนานกว่า 15 ปี
ข้อเสีย: ต้องใช้วิธีเชื่อมด้วยความร้อนและอุปกรณ์เฉพาะ
เคล็ดลับการเลือกวัสดุ
1. เลือกตามงบประมาณ – หากมีงบสูง ควรเลือกเมมเบรนหรือโพลียูรีเทนเพื่อความทนทาน
2. คำนึงถึงการใช้งาน – หากห้องน้ำใช้งานหนัก เช่น มีอ่างอาบน้ำ ควรเลือกวัสดุที่กันน้ำได้ 100%
3. ไม่เน้นราคาถูกเกินไป – วัสดุราคาถูกมักเสื่อมสภาพเร็ว ต้องซ่อมบ่อย
4. ใช้วัสดุและอุปกรณ์ที่ได้มาตรฐาน – เช่น ASTM หรือ มอก. เพื่อให้มั่นใจว่าทนทานจริง
การป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำ
· ทำระบบกันซึมตั้งแต่ก่อสร้าง ไม่ข้ามขั้นตอน
· ตรวจสอบร่องยาแนวและซิลิโคนทุก 2–3 ปี
· ทำความสะอาดห้องน้ำอย่างสม่ำเสมอ ไม่ปล่อยให้เชื้อรากัดกินวัสดุ
· เลือกช่างที่มีประสบการณ์และเคยทำงานกันซึมโดยตรง